วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Collaborative Learning การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ

          การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือมีรูปแบบของกิจกรรมแบบใดบ้าง
          1. แนวคิดของ Johnson and Johnson
         
2. แนวคิดของ
Robert Slavin
                  
2.1 STAD (Student Teams -Achievement Division) เป็นรูปแบบการเรียนรู้มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาการสัมฤทธิ์พลของการเรียนและทักษะทางสังคมเป็นสำคัญ
                   2.2 TGT (Team Games Tournament) เป็นรูปแบบที่คล้ายกับ STAD แต่เป็นการจูงใจในการเรียนเพิ่มขึ้น โดยการใช้การแข่งขันเกมแทนการทดสอบย่อย
                   2.3 TAI (Team Assisted Individualization) เป็นรูปแบบการเรียนที่ผสมผสานแนวคิดระหว่างการร่วมมือในการเรียนรู้กับการสอนเป็นรายบุคคล (Individualized Instruction) รูปแบบของ TAI เป็นการประยุกต์ใช้กับการสอนคณิตศาสตร์
                   2.4 CIRC (Cooperative Integrated Reading and Composition) เป็นรูปแบบการเรียนแบบร่วมมือแบบผสมผสาน ที่มุ่งพัฒนาขึ้นเพื่อสอนการอ่านและการเขียนสำหรับนักเรียนประถมศึกษาตอนปลายโดยเฉพาะ
                   2.5
Jigsaw ผู้ที่คิดค้นการเรียนการสอนแบบ Jigsaw เริ่มแรกคือ Elliot – Aronson และคณะ(1978) หลังจากนั้น สลาวินได้นำแนวคิดดังกล่าวมาปรับขยายเพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบการเรียนแบบร่วมมือมากยิ่งขึ้น เป็นรูปแบบที่เหมาะสมกับวิชาที่เกี่ยวข้องกับการบรรยาย เช่น สังคมศึกษาวรรณคดี วิทยาศาสตร์ในบางเรื่อง รวมทั้งวิชาอื่น ๆ ที่เน้นการพัฒนาความรู้ ความเข้าใจมากกว่าพัฒนาทักษะ
         
          3. แนวคิดของ Shlomo Sharan and Yael Sharan
                  
3.1 GI (Group Investigation) เป็นรูปแบบการเรียนแบบร่วมมือที่มีความซับซ้อนและกว้างมาก ปรัชญาของรูปแบบ GI ก็คือ ต้องการปลูกฝังการร่วมมือกันอย่างมีประชาธิปไตย มีการกระจายภาระงานและสิทธิในการแสดงความคิดเห็นที่เท่าเทียมกันของสมาชิกในกลุ่ม GI มีการกระตุ้นบทบาทที่แตกต่างกันทั้งภายในกลุ่มและระหว่างกลุ่ม
                   3.2 Co – op Co – op เป็นรูปแบบที่พัฒนาโดย Shlomo และ Yael Shsran ที่ใช้ในงานเฉพาะอย่าง ลักษณะสำคัญคือ สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มย่อยจะได้รับมอบหมายให้ศึกษาเนื้อหา หรือทำ กิจกรรมที่ต่างกัน ทำ เสร็จแล้วนำผลงานมารวมกันเป็นกลุ่มร่วมกันแก้ไขทบทวนแล้วนำมาเสนอต่อชั้นเรียน
          7. การเล่าเรื่องรอบวง (Round robin) เป็นเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือที่เปิดโอกาสให้สมาชิกทุกคนในกลุ่มได้เล่าประสบการณ์ ความรู้ สิ่งที่ตนกำ ลังศึกษา สิ่งที่ตนประทับใจให้เพื่อน ๆ ในกลุ่มฟัง
          8. มุมสนทนา (Corners) เริ่มต้นจากการให้ผู้เรียนกลุ่มย่อยแต่ละกลุ่มเข้าไปนั่งตามมุมหรือจุดต่าง ๆของห้องเรียน และช่วยกันหาคำ ตอบสำ หรับโจทย์ปัญหาต่าง ๆ ที่ครูยกขึ้นมา และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนอธิบายเรื่องราวที่ตนศึกษาให้เพื่อนกลุ่มอื่นฟัง
          9. คู่ตรวจสอบ (Pairs Check) แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มละ 4 หรือ 6 คน ให้นักเรียนจับคู่กันทำ งาน คนหนึ่งทำ หน้าที่เสนอแนะวิธีแก้ปัญหา อีกคนทำ หน้าที่แก้โจทย์เสร็จข้อที่ 1 แล้วให้สลับหน้าที่กัน เมื่อเสร็จครบ 2 ข้อ ให้นำคำตอบมาตรวจสอบกับคำ ตอบของคู่อื่นในกลุ่ม
          10. คู่คิด (Think-Pair Share) ครูตั้งคำ ถามให้นักเรียนตอบ นักเรียนแต่ละคนจะต้องคิดคำตอบของตนเอง นำคำตอบมาอภิปรายกับเพื่อนที่นั่งติดกับตนนำคำตอบมาเล่าให้เพื่อนทั้งชั้นฟัง
          11. ร่วมกันคิด (Numbered Heads Together) เริ่มจากครูถามคำ ถาม เปิดโอกาสให้นักเรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันคิดหาคำ ตอบ จากนั้นครูจึงเรียกให้นักเรียนคนใดคนหนึ่งจากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือทุก ๆกลุ่มตอบคำ ถาม เป็นวิธีการที่นิยมใช้ในการทบทวนหรือตรวจสอบความเข้าใจ
          12. การเรียนแบบร่วมมือกับการสอนคณิตศาสตร์ จอห์นสันและจอห์นสัน (Johnson and Johnson, 1989) กล่าวว่า การเรียนแบบร่วมมือสามารถใช้ได้เป็นอย่างดีในการเรียนคณิตศาสตร์ เพื่อให้นักเรียนคิดทางคณิตศาสตร์เข้าใจการเชื่อมโยงระหว่างมโนมติและกระบวนการ และสามารถที่จะประยุกต์ใช้ความรู้อย่างคล่องแคล่ว


          กิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนแบบร่วมมือ ท่านจะเลือกใช้รูปแบบใดเพราะเหตุใด
          การเรียนรู้แบบร่วมมือในแต่ละรูปแบบล้วนแต่มีข้อดี และข้อเสียของแต่ละรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเลือกรูปแบบใดก็สามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ หากแต่เราควรคำนึงอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญคือ เนื้อหาที่เราจะใช้สอน จะต้องมีความเหมาะสม สามารถใช้รูปแบบนั้นๆได้ดีและมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์ต่อผู้เรียนมากที่สุด
          เนื้อหา
: องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์
          รูปแบบ : Co – op Co – op
          เหตุผล
: เนื่องจากลักษณะสำคัญของรูปแบบ Co – op Co – op คือ สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มย่อยจะได้รับมอบหมายให้ศึกษาเนื้อหา หรือทำกิจกรรมที่ต่างกัน ทำเสร็จแล้วนำผลงานมารวมกันเป็นกลุ่มร่วมกันแก้ไขทบทวนแล้วนำมาเสนอต่อชั้นเรียน
         
ซึ่งอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า การเลือกรูปแบบนั้นจะต้องให้เหมาะสมกับเนื้อหาที่จะใช้สอน โดยเนื้อหาของเรื่อง องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์ จะมีลักษณะเป็นหัวข้อย่อย คือองค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์อยู่
5 องค์ประกอบหลักๆ ซึ่งเหมาะที่จะให้ผู้เรียนในกลุ่มนั้นๆ แบ่งหน้าที่ไปศึกษา หาข้อมูลของแต่ละองค์ประกอบย่อยนั้นๆ หลังจากนั้น ก็จะให้สมาชิกในกลุ่มนำเนื้อหาที่ไปศึกษา ซึ่งเป็นองค์ประกอบต่างๆของระบบคอมพิวเตอร์ มาร่วมแลกเปลี่ยนกันภายกลุ่ม และร่วมกันสรุปเนื้อหาทั้งหมดทุกคนรวมกัน ก็จะเกิดเป็นองค์ความรู้ใหม่ว่า สิ่งที่เราไปค้นคว้ามานั้น เมื่อนำมาร่วมกันแล้ว เกิดเป็นอะไร เรียกว่าอะไร
          ซึ่งวิธีนี้ทุกคนจะได้รับหน้าที่ และต้องรับผิดชอบในส่วนของตน หากคนใดคนหนึ่งไม่มีข้อมูลมาร่วมแลกเปลี่ยน องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์ของกลุ่มนั้นก็จะไม่ครบองค์ประกอบ และเมื่อกลุ่มต้องนำเสนอหน้าชั้นเรียน ก็จะทำให้กลุ่มมีข้อมูลไม่ครบเหมือนกับกลุ่มอื่นๆในชั้นเรียน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น